วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2552

เรื่องสั้น: วัด ที่พระเปลี่ยนสี

สุรเสียงแห่งธรรมกำลังส่ง 1,250 วัตต์
มิอาจประหัตประหารพลังอำนาจแห่งกิเลส
ที่มีกำลังส่งเหลือประมาณ


********


วั ด บุ ฟ ผ า ร า ม
14.37 น.
“หลวงตา” ยัดยาเส้นลงในกล้องยาสูบ ส่ายสายตามองหาเด็กวัด…ว่าจะเรียกให้มานวดหลังให้สักหน่อย... มันไปไหนเสียแล้วล่ะ...
“หลวงพี่” นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ต้นลำไย ไม่ได้รอใคร ไม่ได้คิดอะไร และยังตอบตัวเองไม่ได้ว่านั่งไปทำไม ...คงบ่ายสองโมงแล้วหรือเปล่า แต่ก็ช่างปะไร
“สามเณร” งีบกลางวันอยู่ในพระอุโบสถ เปิดหน้าต่างให้ลมโชย เย็นสบาย ใกล้ๆ หมอนสีเหลืองตั้งนาฬิกาปลุกไว้ เข็มชี้เวลาปลุกสี่โมงห้าสิบ อีกสิบนาทีหลังจากนั้นมีหนังจีนชุด เปาปุ้นจิ้น ทางช่องสาม...เย็นนี้คนชั่วเป็นถึงขุนนาง แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าท่านเปาจะใช้เครื่องประหารหัวอะไร น่าติดตามเหลือเกิน…
“เด็กวัด” ร่างผมบางท่าทางทะเล้นกำลังอุ้มลูกหมาวัดวิ่งเล่นไปทั่วบริเวณวัด แม่หมาแก่ๆ วิ่งเหยาะๆ ตามหลังไปด้วยความเป็นห่วงลูกสามตัวที่เพิ่งคลอด...ตัวนี้จะเรียกมันว่าจั่นเจา แต่พี่เณรอาจจะไม่พอใจก็ได้ เพราะจั่นเจาคือฮีโร่ของเขา บางทีอาจจะเรียกมันง่ายๆ ว่า...เจ้ามอม

14.41 น.
ชายผิวกร้าน ขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาในวัด...เกือบเฉี่ยวชนแม่หมา เขาเห็นหลวงพี่นั่งอยู่เพียงลำพัง จึงเร่งเครื่องเข้าไปจอดใกล้ๆ เขาเดินอย่างสำรวมเข้าไปพบท่าน
"นมัสการครับหลวงพี่" ยกมือขึ้นประนม ใบหน้าใบตาใช้ได้ กล้ามแขนใหญ่กล้ามอกแน่น ปรากฎรอยสักบนหลังมือ ดูไม่ออกว่าสักรูปอะไร น่าจะกิ่งก่าสองตัวกำลังพรอดรักกันอยู่
"เจริญพรโยม มีธุระอะไรรึ" หลวงพี่กล่าวเสียงเย็นเยือก เหมือนสุ้มเสียงพระภิกษุหนุ่มในหนังไทยที่โด่งดังสมัยที่ท่านอยู่ในวัยกระเต๊าะ...เรื่อง...ข้ามากับพระ...นี่แสดงให้เห็นว่าตอนนี้อายุหลวงพี่น่าจะใกล้หลักสี่เต็มที
"กระผมแวะมาถามหน่อยนะครับ ว่าวัดไชยมงคลยังจะต้องไปอีกไกลมั้ยครับ"
"ไปอีกสามหมู่บ้านน่ะโยม คงเกือบยี่สิบกิโล" หลวงพี่คาดคะเณได้ใกล้เคียง
"โอ้โห! ค่าน้ำมันไปกลับจะคุ้มมั้ยเนี้ย" ชายผิวกร้าน ยกมือเกาศีรษะ ตีสีหน้าเซ็ง... เซ็งมากขนาดที่กิ่งก่าสองตัวบนหลังมือยังรู้สึกไม่ค่อยจะพอใจไปด้วย
"ทำไมล่ะโยม" หลวงพี่สงสัยสายตาประสานไปยังแววตาคมเข้มของคุณโยมผู้หนุ่มแน่น
"ผมต้องเอาเครื่องเสียงไปส่งให้ท่านรองเจ้าอาวาสวัดนั้นครับ ท่านไปสั่งของไว้ ท่านบอกผมว่าวัดอยู่ไม่ไกล ผมเลยไม่ได้บวกค่าน้ำมันไปด้วย" ทำนองชายผิวกร้านจะประณามว่าท่านรองเจ้าอาวาสกล่าวมุสา ซึ่งเป็นอาบัติศีลข้อสี่
“ไม่คุ้มค่าน้ำมัน” ชายผิวกร้านไม่หยุดส่ายหน้า เขาว่าแล้วก็ชี้ไปที่เครื่องเสียงซึ่งอยู่ในกล่องผูกติดกับมอเตอร์ไซค์อย่างแน่นหนา ยี่ห้อไม่ธรรมดา โซฟี (... ประทานอภัย... โซนี่ ) เขาหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่อีกตัวข้างหลวงพี่โดยพละการ เหงื่อผุดบนใบหน้ากร้านเพราะแสงแดดแผดร้อน หนวดเคราเขาน่าจะไม่ได้โกนมาสองหรือสามวันแต่ดูขรึมมีเสน่ห์ เขาดึงเสื้อยืดเช็ดเหงื่อบนใบหน้าปรากฏลายสักที่หน้าอก พิศดูน่าจะเป็นช่วงหางของสัตว์อะไรสักอย่าง เป็นไปได้ว่าจะเป็นพ่อตาหรือไม่ก็แม่ยายของกิ่งก่าสองตัวบนหลังมือ กล้ามท้องเป็นมัดๆ ต้องตาต้องใจหลวงพี่มิใช่น้อย...เขา...หน่วยก้านดีนะ... ท่านรำพึงอยู่ในใจลึกๆ
"โยมขายเครื่องเสียงหรือ" สายตาหลวงพี่เพ่งไปที่กล่องเครื่องเสียงโซนี่ กล่องใหญ่โตไม่ใช่เล่น รูปตัวอย่างเครื่องเสียงข้างกล่องน่าสนใจกว่าร่างกำยำกร้านแดดของชายหนุ่ม... ท่านไม่อยากแสดงออกให้มากไปกว่านี้ เดี๋ยวญาติโยมรู้กันหมดว่า...ท่านเป็นพระเกย์
"ครับ ผมขายเครื่องเสียง" ชายผิวกร้าน มองซ้ายที ขวาที แล้วลดเสียงพูดให้เบาลง "หนีภาษี น่ะครับ ผมเอาข้ามแดนมาจากแม่สาย ราคาบ้านฝั่งเราเกือบสองหมื่น" เขายังไม่หยุดทำทีล่อกแล่กประหนึ่งเกรงว่านกกระจอกบนต้นลำไยจะทำตัวเป็นกาคาบข่าวสำคัญไปแจ้งกรมสรรพากร กระนั้นในแววตาเขาไม่วายจะฉายความภาคภูมิใจที่ตนหลบเลี่ยงภาษีผ่านด่านแม่สายมาได้สำเร็จ
ประกายในดวงตาของหลวงพี่ก็เช่นกัน ปรากฎความยินดีขึ้นประการหนึ่ง ... ปิดไม่มิด มันเริ่มลุกวาว... วาว ชนิดมองแว่บเดียวยังเห็นแววกิเลสได้อย่างชัดเจน... อาตมาสนใจ...
ชายผิวกร้านลุกขึ้นยืน สูงโปร่งปานนายแบบ
"ผมขายให้ท่านรองเจ้าอาวาสห้าพันเอง นี่คงต้องขอค่าน้ำมันเพิ่มแล้วล่ะ ไกลขนาดนี้น่ะ"
"จริงหรือโยม ห้าพันบาทจริงเหรอ" น้ำเสียงหลวงพี่ถูกเคลือบด้วยกิเลสอย่างหนา ขัดแย้งกับข้อความบนป้ายเหนือศีรษะ
ป้ายไม้กระดานดำขนาดเท่ากระดาษ เอ.4 ตอกติดอยู่ที่ลำต้นลำไย ข้อความสีขาวเด่นชัดเขียนด้วยลายมือท่านเอง ท่านหยิบยกพุทธภาษิต ซึ่งพระมหาบรมศาสดาฝากไว้ให้เหล่าปุถุชนได้ตระหนักถึง
"วิสุทฺธิ สพฺพเกฺลเสหิ โหติ ทุกฺเขหิ นิพฺพุติ ความหมดจดจากกิเลสทั้งปวง เป็นทางดับทุกข์ทั้งหลาย"
หลวงพี่นำมาตอกตะปูตรึงติดไว้กับมือเมื่อวันก่อนโน้น... นานแล้ว... นานเสียจนจำไม่ได้ว่าเมื่อไหร่
"เออ โยม...นี่โยมรีบมั้ยล่ะ พอจะแกะออกมาให้อาตมาดูหน่อยได้หรือเปล่า" สุ้มเสียงเย็นยะเยือกที่คุ้นหู ได้ถูกละลายด้วยกิเลสชั้นปุถุชนคนอยาก หลงเหลือเพียงสำเนียงของความต้องการสามัญ มุ่งหวังเพียงเสียงอันไพเราะเสนาะโสตจากเครื่องเสียงยี่ห้อดัง...ขอแกะให้อาตมาดูหน่อย... หลวงพี่ต้องการดูเครื่องเสียงนะ... ไม่ใช่หมายถึงสิ่งอื่นใด...เช่นกล้ามใหญ่หลังร่มผ้านั่น...
"ไม่รีบครับ แต่ผมยังไม่กินข้าวเที่ยงเลย ตอนนี้ผมหิวมาก" ชายผิวกร้านกล่าว ประหนึ่งเป็นการต่อรอง
"เอายังงี้สิ เดี๋ยวให้เด็กวัดหากับข้าวให้ และโยมช่วยเปิดกล่องให้อาตมาดูเครื่องเสียงดูก็แล้วกัน"
ดูเหมือนข้อเรียกร้องจะลงตัว กล่องใบใหญ่ถูกเปิด เดือดร้อนถึงเด็กวัดที่ถูกเรียกใช้ให้ไปเอากับข้าวมาเลี้ยงญาติโยมผู้พลัดถิ่น หลวงพี่เรียกใช้เด็กวัดตัดหน้าหลวงตาที่รอให้ชงชาและนวดหลังคลายความปวดเมื่อย
หมาน้อยได้ชื่อว่าเจ้ามอมในที่สุด มันถูกปล่อยเป็นอิสระและกำลังคลอเคลียอยู่กับแม่อย่างเป็นสุข เด็กวัดยังคงไต่รตรองว่าลูกหมาอีกสองตัวน่าจะให้ชื่อว่า หวังเฉ่า หม่าฮั่น หรือไม่อย่างนั้นคงต้องเป็น เจ้าด่าง และ เจ้าดอก เบสิค...เบสิค
หลวงพี่เข้าสำรวจเครื่องเสียงด้วยอากัปกิริยาที่ไม่หลงเหลือความเป็นผู้ครองชีวิตสมณเพศเสียแล้ว...สมณเพศผู้มีเป้าหมายสูงสุดในการขจัดความอยากได้อยากมี โอกาสอยู่ใกล้ความหลุดพ้นไม่เหลือแม้เพียงแต่ครึ่งกระผีก
รูปลักษณ์ภายนอกสะดุดตา ดำขลับมันวับ ขับสีบรอนซ์เงินดูดีมีระดับ ออพชั่นครบครัน ใส่ซีดีได้ห้าแผ่น เท่าจำนวนศีลของฆราวาสญาติโยม ปรับตกแต่งเสียงได้ถึงสี่แบบ แจ้ส คลาสิค ร็อค หรือ ป็อปประหนึ่งทุกข์ สมุทัย นิโรธ และ มรรค
กำลังความต้องการในหัวใจของหลวงพี่ถูกเร่งให้สูงกว่ากำลังวัตต์ของลำโพงด้วยซ้ำ ลำโพงซ้ายขวารวมกันแล้ว 1,250 วัตต์
ตัวเลข 1, 250 เท่ากันกับพระสาวกที่มาประชุมกันโดยไม่ได้นัดหมายในวันมาฆบูชา เป็นความบังเอิญที่มิได้นัดหมายเช่นกัน
ราคานี้ทีวีไดเรค ยังขายให้ไม่ได้ ชอบ ชอบมากๆ...
ชายผิวกร้านอิ่มเอร็ดเสร็จสำราญมื้อกลางวันของเขาแล้วตามด้วยน้ำเย็นหนึ่งกระบวยครึ่ง ตักจากหม้อดินใต้ต้นลำไย...ชื่นใจสบายพุง

15.17 น.
เด็กวัดกำลังยกกาชาร้อนไปหาหลวงตา ชาร้อนยามบ่ายแก่ๆ ตามแบบฉบับของผู้ดีอังกฤษ หลังจากนั้นก็จะเป็นนวดไหล่และหลัง คลายเส้นสายตึงเมื่อยให้หลวงตา ท่านไม่นิยมนอนหลับกลางวัน มันทำให้ท่านนอนไม่สนิทตอนดึกดื่น
“นั่นใครล่ะ” หลวงตาสอบถามข้อมูลกับเด็กวัด
“เขามาขายเครื่องเสียงครับ”
“ดูแลกับข้าวกับปลากันอย่างนี้เชียว” ฟังดูคล้ายบ่น แต่เด็กวัดไม่สนใจ ท่านก็บ่นอย่างนี้ประจำ เขาภาวนาให้หลวงตาง่วงแล้วนอนหลับไปเสียเลยจะดีกว่า จะได้เสร็จการเสร็จงาน

เครื่องเสียงดีขนาดนี้ แค่ห้าพัน ถูกฉิบ…หลวงพี่คิดในใจก่อนเอ่ยขึ้น
"โยม หลวงพี่อยากได้ไว้สักเครื่อง โยมขายให้หลวงพี่เถอะนะ เพิ่มให้อีกห้าร้อย"
"ไม่ได้หรอกครับ ท่านรองเจ้าอาวาสวัดโน่นจะได้ตามไปเทศน์ผมถึงบ้าน"
หลวงพี่นิ่งเงียบอยู่ในความคิด มองไปที่เครื่องเสียง สีหน้าท่าทีบ่งชัดว่า...เสียดาย
"เพิ่มให้อีกพันหนึ่งเลยเอ้า..." นี่คือการประมูล
"ไม่ได้จริงๆ ครับหลวงพี่ ท่านรองเจ้าอาวาสซื้อของที่ผมบ่อย ผมไม่อยากเสียลูกค้า"
ชายผิวกร้านมีท่าทีเป็นเป็นกังวล แสดงออกถึงความมีจรรยาบรรณอันสูงส่ง และความซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค ทั้งที่ตนลักลอบขายของหนีภาษี
หลวงพี่ไตร่ตรองและคำณวณด้วยความสามารถด้านตัวเลข สมกับจบวิทย์คณิตที่โรงเรียนมัธยมประจำตำบล…คิดง่ายๆ นิ ; ต้นเดือนท่านไปเช็คราคามาแล้วในเมือง รุ่นเดียวกันเป๊ะ…หมื่นห้าเก้าร้อย ตีเป็นหมื่นหก ซื้อวันนี้ในราคาแค่หกพัน สุดแสนจะคุ้ม…
ไหนๆ บุญก็หล่นมาถึงวัด หรือนี่จะเป็นโชคของพระสงฆ์องคเจ้า ผู้ถือครองพรมจรรย์กะไร? อาจเป็นไปได้…ท่านคิดอย่างรอบคอบก่อนต่อรองอีกครั้ง
“เจ็ดพัน เถอะนะโยม” ใจป้ำสุดๆ แล้ว หลวงพี่ต่อรองเผื่อจะยับยั้งสิ่งที่ชายผิวกร้านกำลังกระทำอยู่... เขากำลังรัดเชือกกล่องใส่เครื่องเสียงกับเบาะมอเตอร์ไชค์
"ฝากผมไปซื้อให้ใหม่มั้ยครับ แต่ผมไม่เอามาส่งให้นะ" ข้อแนะนำชายผิวกร้านชัดเจนว่าให้เพิ่มเท่าไหร่ก็ไม่ขาย เขาจำเป็นต้องรักษาความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ ช่างน่าชื่นชม
"อ้าว ทำไมไม่มาส่งให้ล่ะโยม"
"ไม่ไหวล่ะครับ ผมกะจะส่งให้ท่านรองเจ้าอาวาส เป็นรายสุดท้ายแล้ว ไกลไม่คุ้มเลย"
น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ เจ็ดพันเอง โธ่... หลวงพี่พร่ำบ่นในใจ ติดอยู่เพียงไม่เอามาส่งให้...นี่สิคือปัญหา... ต้องมีคนไปรับถึงที่...ใครดี...
"ถ้างั้น หลวงพี่ฝากโยมไปซื้อให้อีกเครื่อง อย่างที่โยมแนะก็แล้วกัน"
"แต่ไม่เจ็ดพันแล้วนะครับหลวงพี่ ผมขออีกห้าร้อย"
"อ้าวโยม ทำไมขึ้นราคายังงั้นล่ะ ไม่มาส่งให้ด้วยนะ"
ชายผิวกร้านยกกล่องวางบนมอเตอร์ไซค์อย่างทนุถนอม
"หลวงพี่ต้องเข้าใจ ผมวิ่งรถเข้าแม่สาย ป่านนี้ด่านอาจจะปิดแล้ว ต้องจ่ายให้นายตรวจอีก เรื่องมันยุ่งอยู่นา อีกอย่างของอาจจะถูกเหมาซื้อไปแล้วก็ได้ อีกห้าร้อยเองนะหลวงพี่ ผมไม่ได้อะไรเลยจริงๆ"
หลวงพี่นิ่งไป เขาเป็นพ่อค้าที่มีเหตุผลมาก ท่านคิด
"หลวงพี่ให้เณรสักรูปไปรับของกับผมที่แม่สาย ผมคงไม่มาขายทางนี้แล้ว"
หลวงพี่นิ่งอีก นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วหรือนี่ เจ็ดพันห้า กับเครื่องเสียงรุ่นนี้แล้ว ไม่ควรให้มันหลุดลอยไป ท่านก็ตัดสินใจขึ้นกุฏิ หยิบเงินสดในตู้กระจก เงินจำนวนนี้ท่านเก็บออมมาแรมปี
นับเงินอยู่นาน ยังดีที่พอเหลือไว้สองสามร้อย คืนพรุ่งนี้มีสวดอภิธรรมงานศพคงจะได้เก็บออมกันใหม่
หลวงพี่เหลือบมองผ่านเครื่องเสียงที่ท่านใช้อยู่ 650 วัตต์ เครื่องนี้ประกาศขายต่อ น่าจะได้ราคาสักสามพัน ตอนนี้จะเพิ่มอีกสักสี่พันห้า แต่ได้เป็นโซนี่ 1,250 วัตต์ คิดเฉลี่ยวัตต์ละไม่ถึงสามบาท ท่านคำณวณได้รวดเร็ว เข้าใจว่าได้เกรดดีตอนเรียนคณิตศาสตร์
เย็นนี้จะได้ฟังเครื่องเสียงดี ๆ กันสักครา พลังเสียงคงจะไพเราะทุกตัวโน๊ต ทุกจังหวะดนตรี อาตมาชอบแนวแนวร็อค
ท่านคิดขณะเดินผ่านชายผิวกร้าน รี่เข้าไปในพระอุโบสถ

15.33 น.
ยังไม่ครบจำนวนชั่วโมงนอนตามที่สามเณรปรารถนา แต่ต้องถูกปลุกให้ตื่นก่อนกำหนด เขายังรู้สึกงุนงันกับความแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นในวันเดิมๆ ของเขา หลวงพี่ปลุกให้ตื่นมาอย่างน่าสงสัย ท่านมีประสงค์อันใดกัน
ประกาศิตหลวงพี่คือ ไปกับชายผิวกร้านแปลกหน้า เพื่อไปรับเครื่องเสียงรุ่นใหม่สุดที่ท่านสั่งซื้อไว้ เงินเจ็ดพันห้าร้อยบาทซึ่งถูกรัดด้วยยางวง เพราะส่วนมากเป็นธนบัตรฉบับละร้อย ห้าสิบและยี่สิบ หลวงพี่นับมาครบถ้วน ท่านยัดไว้ในถุงย่ามสามเณรพร้อมกำชับเสียงมั่นคง “โซนี่รุ่นนี้นะ” ท่านชี้ไปที่กล่องให้สามเณรจดจำหน้าตา
สามเณรรับคำสั่งโดยไม่ทีท่าจะอิดออด แม้เขาจะเป็นการคั่นเวลางีบกลางวันไปบ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร ถือว่าตอบแทนหลวงพี่ที่ท่านเปิดกุฏิให้ดูทีวี แทบทุกรายการที่สามเณรโปรดปราน
เกือบสี่โมงแล้ว คงต้องรีบแล้วล่ะ รีบกลับมาให้ทันท่านเปา
สามเณรนั่งมอเตอร์ไซค์ไปกับชายผิวกร้าน เครื่องเสียงถูกย้ายมาวางไว้ตรงระหว่างขาคนขับ หนีบด้วยปลายหัวเข่าแข็งแรงล่ำสัน...แต่ยังไงก็ดูทุลักทุเลเสียเต็มทน
มอเตอร์ไซค์ออกตัวได้ในที่สุด จุดหมายแรก วัดไชยมงคล พวกเขาต้องส่งของให้ท่านรองเจ้าอาวาส จุดหมายที่สองตรงไปด่านอำเภอแม่สาย สามเณรรับเครื่องเสียงและนั่งรถประจำทางกลับวัด เป็นแผนการที่ดี
แต่ภาพที่เห็นกลับอีหลักอีเหลื่อเหลือเกิน มือซ้ายของชายผิวกร้านต้องคอยประคับประคองเครื่องเสียงราคาแพง มือขวาบิดคันเร่ง ผ้าจีวรที่สามเณรห่มแบบลวกๆ ด้วยความรีบเร่ง ปลิวว่อนตามแรงลมปะทะ
"โอเคมั้ย" พวกเขาผลัดกันถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย ท่าจะไม่ได้การเสียแล้ว ทั้งคู่ตระหนักอยู่ในใจ และแล้วชายผิวกร้านได้ตัดสินใจจอดมอเตอร์ไซค์หน้าศาลารอรถประจำทางตรงทางแยกถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ที่ทอดปลายสู่พรมแดนพม่า
"อีกไกลมั้ยเณร" ชายผิวกร้านหมายถึง...วัดไชยมงคล
"ครึ่งทางแล้วล่ะโยม" สามเณรพยายามห่มจีวรให้รัดกุมขึ้นกว่าเดิม
"เณรครับ เอาอย่างนี้ดีกว่า เณรนั่งรถเมล์ไปลงแม่สาย ผมจะเอาเครื่องเสียงไปส่งก่อนแล้วบึ่งรถตามไป นั่งมอเตอร์ไซค์จากนี่ไปถึงแม่สายไกลพอดูนะ อันตรายด้วย ผมจะถวายเงินค่ารถเมล์ให้" ว่าแล้วก็หยิบเงินแบงค์ร้อยออกส่งให้สามเณร
ความคิดเยี่ยงนี้ของท่านเฉียบคมยิ่งนัก... ถ้อยคิดของสามเณรคล้ายบทพูดในหนังท่านเปา
"สี่โมงแล้ว ถ้าข้ามไปเอาของฝั่งพม่าไม่ทัน เณรคงต้องจำวัดที่วัดแม่สายเสียแล้วกระมัง"
"อ้าว ทำไมล่ะ" น้ำเสียงแปลกใจปนขมขื่นนิดๆ ชายผิวกร้านตีสีหน้าหมดทางออก คำตอบก็อย่างที่บอกไปแล้ว หากด่านปิด ซื้อของฝั่งโน้นไม่ทัน ก็ต้องรับของวันต่อไป
สีหน้าลังเลของบุรุษคู่ซึ่งแตกสถานะต่างวัย สร้างความอึดอัดพอสมควร สถานการณ์นี้ต้องมีการตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง
"เอ้างี้ ผมจะรีบไปส่งของแล้วตามไป แต่มีอีกวิธี จะช่วยให้เณรกลับมาทัน" ชายผิวกร้านเสนอแนะพร้อมหยั่งท่าที
สามเณรส่งสายตาเร่งให้อีกฝ่ายกล่าวถึงวิธีการที่ว่า
"คือผมส่งของเสร็จ บึ่งมอเตอร์ไซค์ไปซื้อของฝั่งโน้นก่อนจะเร็วกว่า"
เป็นความคิดที่ดีเยี่ยม ใช่สินะ...ส่งของเสร็จแล้วเขาต้องบิดได้เต็มที่แน่นอน เพราะไม่ต้องห่วงเครื่องเสียงและห่วงชีวิตสามเณรแล้ว
แต่สามเณรยังคงลังเล
"อ้อฝั่งโน้นมีซาวด์อะเบาท์ดีดี ราคาถูกมาก แล้วผมกะจะเอามาถวายแถมให้เณรละกัน" ชายผิวกร้านเสนอน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ เผื่อเป็นกุศล สามเณรอุตส่าห์มาเสียเวลากับธุรกิจระหว่างเขาและหลวงพี่
สามเณรเลิกลังเลใจ ล้วงเงินที่หลวงพี่เตรียมไว้ให้ ...เจ็ดพันห้าร้อยบาท... ออกจากถุงย่ามส่งให้ชายผิวกร้าน พร้อมคำถามที่รอบคอบอย่างยิ่ง
"แล้วจะเจอโยมได้ที่ไหนล่ะ"
"มีวัดอยู่หน้าโรงพักแม่สาย เณรรออยู่ที่วัดนั่นนะครับ" ชายผิวกร้านหยิบปากกาและกระดาษจากกระเป๋าเสื้อ...จดยิกยิกแล้วส่งให้สามเณร "นี่ครับ เบอร์โทรผม" ค่อยยังช่วยติดต่อกันได้ …อย่างนี้อุ่นใจขึ้นมาก สามเณรรับเศษกระดาษนั้นไว้ พับเก็บไว้ในกระเป๋าซิปที่เย็บติดถุงย่ามด้านใน เขารอบคอบอย่างนี้เสมอล่ะ สามเณรชื่นชมตัวเองในใจ

16.07 น.
รถโดยสารประจำทางผ่านมา ชายผิวกร้านโบกให้จอด สามเณรขึ้นรถไป มุ่งหน้าไปแม่สาย
ชายผิวกร้านรีบย้ายเครื่องเสียงมามัดเบาะท้ายอย่างชำนาญ มุ่งหน้าไปทางวัดไชยมงคล
* * * * *
16.18 น.

ณ วั ด ศ รี บุ ญ เ รื อ ง ก่ อ น ถึ ง วั ด ไ ช ย ม ง ค ล

“หลวงตา” เผาใบไม้อยู่หลังบริเวณวัด...งานหนักที่สุดของวันนี้กำลังเสร็จลุล่วงพร้อมกับไฟที่เริ่มมอดดับ
“หลวงพี่” นั่งตรงหัวบันไดกุฏิ บนหลังคากุฏิมีจานรับช่องสัญญาน ยู.บี.ซี....ไม่ได้รอใคร ไม่ได้คิดอะไร และยังตอบตัวเองไม่ได้ว่านั่งไปทำไม...แต่ไม่สินะ... มีนาทีหนึ่งท่านฉุกคิดขึ้นว่า น่าจะหาแผ่นกระดานดำมาเขียนพุทธภาษิตติดตามต้นไม้ในวัด
“สามเณร” นั่งดูทีวีบนกุฏิ ไม่ได้รอชมเปาปุ้นจิ้น...ช่องแอช.บี.โอ. กำลังฉายซ้ำหนังฝรั่งเรื่อง เอเลี่ยน ...เป็นครั้งที่สิบสี่แล้วนับตั้งแต่ต้นเดือน
“เด็กวัด” อ่านการ์ตูนขายหัวเราะอยู่บนหอระฆัง...เขาควรสนใจท่องบทสวดมนต์มากกว่า เพราะจะต้องบรรพชาปลายเดือนนี้แล้ว
ชายผิวกร้าน ขับมอเตอร์ไซค์เข้ามาในวัด...เขาเห็นหลวงพี่นั่งอยู่เพียงลำพัง จึงเร่งเครื่องเข้าไปจอดใกล้ๆ แล้วเดินอย่างสำรวมเข้าไปพบท่าน
"นมัสการครับหลวงพี่" ยกมือขึ้นประนม ใบหน้าใบตาใช้ได้ กล้ามแขนใหญ่กล้ามอกแน่น ปรากฎรอยสักบนหลังมือ ดูไม่ออกว่าสักรูปอะไร น่าจะกิ่งก่าสองตัวกำลังทะเลาะกันอยู่
"เจริญพรโยม มีธุระอะไรหรือ" หลวงพี่กล่าวเสียงเย็นเยือก เหมือนเสียงพระในสารคดีเกี่ยวกับพระภิกษุสงฆ์ซึ่งถ่ายทอดทางช่องเนชั่นนอลจีโอกราฟฟิค
"กระผมแวะมาถามหน่อยนะครับว่าวัดบุปฝารามยังจะต้องไปอีกไกลมั้ยครับ"
* * * * *


17.51 น.

ณ วัดแห่งหนึ่ง หน้าโรงพัก อำเภอแม่สาย
หลวงตาแก่มากแล้ว กำลังนั่งแกะตัวหนังสือจากหนังสือพิมพ์ ได้ข่าวว่านายยกจะเว้นวรรค... การเมืองกำลังเข้มข้น
หลวงพี่กำลังฉันบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต้มใส่ผักบุ้งสุกพอกรอบ... อร่อยเข้มข้น
สามเณรกับเด็กวัดนั่งดูหนังจีนชุด เปาปุ้นจิ้น... สนุกเข้มข้น

สามเณรต่างวัดรูปหนึ่ง นั่งอยู่บนเก้าอี้หินขัดใต้ต้นมะปราง
เขากำลังรอชายผิวกร้าน... ในใจคิดถึงซาวด์อะเบาท์ที่เขาอ้างว่าจะแถมให้ฟรี...
นี่คงจะหกโมงเย็นแล้วหรือเปล่า ทำไมชายผิวกร้านยังไม่มาสักที
สามเณรตัดสินใจเดินไปหยอดเหรียญโทรศัพท์ที่ตู้หน้าวัด คลี่เศษกระดาษกดหมายเลข
"หมายเลขปลายทางที่ท่านเรียกอยู่ขณะนี้ ยังไม่เปิดใช้บริการค่ะ …The number you have dialed is not yet in service"...
สามเณรวางสาย มองไปที่โรงพัก เดินกลับวัด...และขณะนั้นสมองเริ่มฉุกคิด สามัญสำนึกขั้นพื้นฐานได้ถางถากกิเลสหนาเตอะให้เบาบางลงไปได้ แล้ว เขาเริ่มประติดประต่อภาพที่แตกกระจัดกระจายอยู่ ให้ปรากฎ นั่น! นั่นคือร่างมิจฉาชีพผิวกร้านหรือสิบแปดมงกุฎหยาบช้า เขาโผล่โพล่งให้เห็นแจ่มชัด!

สามเณรเครียด เขาพลาด...เขาได้ให้เงิน (ไอ้) ชายผิวกร้านคนนั้นไปเสียแล้ว
แว่วเสียงท่านเปาดังออกมาจากทีวี...เข้มแข็งเด็ดขาด
ท่านเปาตัดสินใจใช้เครื่องประหารหัวสุนัข
* * * * *

ไม่มีความคิดเห็น: