วันจันทร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2552

เรื่องสั้น : กำธร ไม่อยากเป็น กัปตัน

หลุมพราง...ทั้งนั้น
กำธรเห็นเพื่อนหล่นลงไปแล้ว
บัดนี้... กำลัง..เป็นเวลาของกำธร
และกำธร...กำลัง...ไร้กำลัง


---------------


1
****
กำธรรวดเบียร์เข้าไปสมทบ...มีอยู่แล้วครึ่งกระเพาะ... มึน…เมา...มองทะเล
ตะวันสีแสงแรงกล้าเมื่อตอนเที่ยง บัดนี้แดงระเรื่อไร้พิษสง ค่อยๆ เลื่อนดวงลงต่ำ
น้ำทะเลกระเพื่อมตัวรออยู่แล้วเบื้องล่าง
ตะวันอ่อนแรงแขวนดวงอยู่ไม่ไกลนักจากปลายเกลียวคลื่น
อีกไม่กี่อึดใจทั้งดวงก็จะถูกดูดกลืน …ใช่! ฉันเองก็กำลังจะถูกดูดกลืน… กำธรคิด
เขาหยิบเบียร์ขวดใหม่ออกมาวาง เปิดด้วยเบียร์อีกขวดในมือ …ช่ำชองจริง
"เพล๊าะ" เสียงดังดั่งเชมเปญ…หึ หึ...นี่เป็นการฉลองหรือไร แต่ในโอกาสที่เขาไม่เคยคิดจะปรารถนาให้มาถึง…กำธรจะได้เป็นกัปตัน!
เบียร์ผ่านลำคอเข้าไปอีก...อึ๊ก อึก...มึนกว่าเดิม…เมา…สมใจกำธร
เขาหลับตาถอนหายใจยาว เชิดคางขึ้นเล็กน้อย ค่อยๆ ลืมตามองตามนกนางนวลเหนือท้องน้ำ ฟ้าสีครามเมื่อตอนบ่าย ขณะนี้ราวถูกแต้มด้วยพู่กันของจิตรกร…เฮอะ! หลากสีสัน อยู่สะเปะสะปะไร้ระเบียบเช่นนี้แหละ พวกเขาจึงจะเรียกจิตรกรรมชิ้นเอก…ห่างเข้ามาทางฝั่งแผ่นดิน เหล่าก้อนเมฆฉีกตัวหนีออกจากเอื้อมมือแห่งความมืด แต่คงไม่พ้น ใช่!....ฉันก็คงจะไม่พ้น กำธรรำพัน
ทะเลกลืนตะวันดับแสง อ่อนแรงล้าเต็มที ไม่ต่างกัน…กับกำธร
2
* * *
แจ๋วบอกว่า...อย่างนี้ต้องฉลอง!... เธอรีบโทรศัพท์ไปแจ้งข่าวพิเศษนี้กับเพื่อนสนิทหลายคน ชักชวนให้มาเลี้ยงฉลองที่ห้องพัก...เนื่องในโอกาสอะไรหว๊า?... เพื่อนปลายสายออกเสียง หว๊า กวนบาทา...ผัวกูจะได้เป็นหัวหน้าคนโว้ย...คำลงท้ายของแจ๋วค่อนไปทางอวด...อวดดี
แจ๋วลงไปขอยืมอุปกรณ์ครัวจากเจ้าของหอพัก เธอคิดว่าเลี่ยงแจ้งข่าวสำคัญให้เจ๊ยุหน้าเลือดจะเป็นการดีกว่า เธอเพิ่งจ่ายค่าหอพักเดือนของที่แล้วไปเมื่อวาน เจ๊ยุอาจจะเพิ่มความถี่ในการทวง หากรู้ว่ากำธรได้เลื่อนตำแหน่ง เพิ่มเงินเดือน
"ฉลองวันเกิดครบหนึ่งขวบของลูกค่ะ" เธอปดเผื่อได้ของขวัญวันเกิดให้ "เจนนี่" ลูกสาววัยขวบสองเดือน แจ๋วภูมิใจเหลือเกินที่ตั้งลูกคนเล็กด้วยอักษร จอ.จานเหมือนกัน
ห้าสิบ! เธอได้มาจากเจ๊ยุ ก็ยังดี เธอเองก็ไม่ได้คาดหวังทองรูปพรรณหรอก แจ๋วรี่ไปตลาด กลับมาพร้อมหมู ไก่ ปลาหมึกและผักสดหลายรายการ เธอรู้ดีว่ากำธรชอบกินหมูกระทะ
"ออกไปซื้อเบียร์ซี่ เดี๋ยวเพื่อนๆ มากันแล้ว" แจ๋วสั่งการขณะเตรียมแก้วเบียร์ให้ครบเจ็ด...แต่ละใบต่างดีไซน์
กำธรเดินไปร้านขายของชำหน้าปากซอย ถอนหายใจแทบทุกก้าวย่าง เดินก้มหน้าและรู้สึกว่าอ้างว้างเหลือเกินเมื่อได้อยู่กับตัวเองลำพัง เขาซื้อเบียร์ครึ่งโหลแล้วเดินข้ามถนนมานั่งที่โต๊ะหินขัดใต้ต้นสนริมทะเล เปิดเบียร์ดื่มพรวดๆ ราวน้ำเปล่า หวังให้ความเมาเข้าขับไล่ความเครียดออกจากสมอง…สมองที่ครุ่นคิดอย่างหนัก ...หนักที่สุดในชีวิตนับตั้งแต่เกิดมาและรู้ว่าตัวเองมีสมอง…เครียดที่สุดนับตั้งแต่นาทีที่ได้อ่านบันทึกภายในฉบับนั้น หึหึ...ขอดื่มเบียร์สลายความหนักใจ… ช่างเป็นเหตุเป็นผลกันดีเหลือหลาย...เขาหลับตาลง…พยายามลืม...แต่ทุกถ้อยคำในบันทึกภายในฉบับนั้น…กลับมาหลอกหลอน ปลิวว่อนอยู่ในสมองนับพันๆ ฉบับ

บันทึกภายใน
ฉบับที่ FB-9009/2549

วันที่ 9 กันยายน 2549

เรื่อง เลื่อนตำแหน่งพนักงาน
เรียน หัวหน้าทุกแผนก
ถึง พนักงานฝ่ายอาหารและเครื่องดื่ม

จากการลาออกของนายบรรจง ด้วงสุรีย์ ทำให้ตำแหน่ง "เรสเตอรองก์กัปตัน" ของห้องอาหารเดอะคลีฟว่างลง ทางแผนกได้พิจารณาเห็นว่า นายกำธร นาประยน มีความเหมาะสม จึงขอเลื่อนตำแหน่งจากพนักงานเสิร์ฟ เป็น เรสเตอรองก์กัปตัน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2549 เป็นต้นไป
จึงประกาศมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน


ขอแสดงความนับถือ


นายพิสุทธิ์ เมฆพิรุณ
ผู้จัดการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่ม


สำเนาเรียน ผู้จัดการทั่วไป
-------------

หึ...ขอแสดงความนับถือเร๊อะ...ฉบับก่อนหน้านี้ก็แสดงความนับถือ...แล้วเป็นไง...ไอ้บรรจงต้องระหกระเหิน...เร่หางานยังไม่ได้...ได้พิจารณาเห็นว่า...โธ่...ใช้สมองหรือใช้อวัยวะส่วนใดพิจารณาล่ะ...ไอ้กำธร...ถึงต้องมานั่งปรับทุกข์อยู่กับเบียร์อย่างเงี๊ยะ!...จากพนักงานเสิร์ฟเป็นเรสเตอรองก์กัปตัน...เฮอะ! รู้นะ...นั่นหลุมพรางทั้งเพ...เอื้อก..อึ๊ก..
กำธรกำลังหัวราน้ำ เมาจนหูแว่วได้ยินเสียงคลื่นทะเลหัวเราะเยาะ แม้แต่พวกยุงแถวนั้นยังมารุมรังแก เขากระดกเบียร์จากปากขวดอีกครั้ง คิดวนเวียนไปมา สิ่งที่ถูกพวกเขายัดเยียดให้ กำธรรับไม่ได้ และถ้อยคิดของเขาบัดนี้ เริ่มไม่สุภาพ
ไหนบอกว่าดื่มมึงแล้วจะหายปวดกะบาลไง ...นี่กูแดกมึงไปจะสี่ขวดแล้ว...ไอ้เบียร์ตอแหล...ตอแหลเหมือนไอ้ผู้จัดการไม่มีผิด...กูอยากรู้นัก...มึงรู้ได้ไงว่ากูมีความเหมาะสม...ห่าเอ๊ย...พิจารณาเห็นว่านายกำธร นาประยน มีความเหมาะสม...มึงพิจารณาจากไรขนกู…หรือว่าวัดจากไฝที่อยู่หลังหูข้างซ้ายกูล่ะ...สกปรกที่สุด...อึ๊ก...เอื้อก...อวกกระจาย! นั่นเป็นอวกของอนาคตเรสเตอรองก์กัปตันกำธร

3
* * *
ในห้องที่หอพัก เพื่อนๆ ทยอยมาครบทุกคนแล้ว หมู ไก่ และปลาหมึกถูกคลุกเคล้าน้ำมันพืชโรยงาขาวพร้อมย่าง แจ๋วป้อนข้าวให้เจนนี่เรียบร้อย เด็กน้อยยิ้มละไมราวโฮสเตสต้อนรับแขกในงาน
แจ๋วใช้ตะเกียบคีบมันหมูวางตรงกลางกระทะ น้ำย่อยในกระเพาะเธอพร้อมทำงานตั้งแต่ตอนสไลด์หมูไก่เป็นชิ้นบางๆ แล้ว "กำธร ออกไปซื้อเบียร์เย็นๆ เดี๋ยวคงมา" เธอเน้นเสียงคำว่า เย็นๆ จนแทบจะไปนำไปเป็นโฆษณาเบียร์ได้
แจ๋วชักชวนให้เพื่อนๆ ล้อมวงกินกันก่อน กัปตันกำธรคือไฮไลท์ของงาน เขาย่อมเปิดตัวทีหลัง
เธอชิมน้ำจิ้มหมูกระทะ...จัดจ้านตามที่เธอประสงค์...ความพะวงก่อตัวขึ้นในใจ กำธรน่าจะรีบไปรีบกลับ เธอส่งน้ำจิ้มไปให้คุณสุภาพสตรีก่อน...ตามด้วยคุณสุภาพบุรุษ...เรื่องมาตรฐานการบริการของเธอเป๊ะ! ยิ่งงานเสิร์ฟแล้ว...แจ๋วไม่เป็นรองใคร
แจ๋วอายุมากกว่ากำธรเกือบสามปี เธอคืออดีตพนักงานเสิร์ฟรอบสระน้ำของโรงแรมใหญ่ แห่งเดียวกันกับกำธรพนักงานเสิร์ฟห้องอาหารที่มีชื่อเสียงของโรงแรม “เดอะคลีฟ” รับประทานเหนือเชิงผา - ดื่มท้าลมทะเล” เป็นข้อความบนป้ายประกาศหน้าทางเข้าโรงแรม น่าเสียดายที่แจ๋วแจ้งเกิดที่นั่นไม่ได้
แจ๋วแยกทางกับสามีคนก่อนเมื่อปีกลาย... “ทำไมล่ะแจ๋ว!?”… มักเป็นคำถามออโตเมติคจากเพื่อนๆ เมื่อเธอเอ่ยถึงเรื่องการแตกหักของชีวิตครอบครัว คนถามตีสีหน้าเศร้าเคล้าฉงนปนกันออกมากลายเป็น “ความอยากรู้อยากเห็น”…“กูอยากมีผัวใหม่” ... นั่นเป็นคำตอบที่อยากตอบจะให้หลุดออกจากปากแจ๋วมากที่สุด หากไม่ติดลูกสองคนที่นั่งมองหน้าปริบๆ พวกเขามักสงสัยเรื่องนี้เฉพาะเวลาเธออยู่กับลูกๆ ...ลูกๆ...?! ใช่..แจ๋วมีลูกแฝดหญิงกับสามีคนก่อน ทั้งสองอยู่กับตายายก็จริง...แต่หัวใจของเด็กแฝดอยู่กับแม่แจ๋ว “เราเข้ากันไม่ได้” ดูเหมือนจะเป็นคำตอบออโตเมติคเช่นกัน…คำตอบนี้เป็นสากลและอายุการใช้งานยาวนาน
แจ๋วคิดว่า…เข้ากันไม่ได้…คือข้อแก้ตัวที่ห่างไกลจากความจริงมากที่สุด...จะว่าไปแล้วอาจจะเป็นเพราะความเจ้าชู้ของเธอเอง ในที่ทำงาน…เธอถนัดนักกับการชอบเล่นหน้าเล่นตากับกำธร…เล่นก็จนเกินเลย...หนุ่มโสดวัยกำดัดอย่างกำธรคิดกับแจ๋วเป็นจริงเป็นจัง...ความลุ่มหลงบดบังทัศนียภาพแห่งศีลธรรมของกำธรไปหมดสิ้น
งานเสิร์ฟรอบสระน้ำที่แจ๋วทำ ร้อนและเหนื่อยเป็นที่สุด แต่นั่นทำให้ทรวดทรงองค์เอวของแม่ลูกสองอย่างแจ๋ว…จึงดูยังแจ๋วสมชื่อ… กำธรตกเป็นของแจ๋วในเวลาต่อมา
กรรมสาปหรือบาปส่งไม่ทราบได้...บ่ายวันหนึ่งแจ๋วจับได้คาเตียงม่านรูด...จะจับใครได้? ก็สามีแท้ๆ ของเธอกำลังนอนกกนักร้องคาราโอเกะ…แม่สาวแก่ร่างอ้วนกลมและกรำศึกมาไม่น้อย… แจ๋วสบช่องประกาศแยกทางทันที
ชีวิตดั่งนิยาย …เธอคิด… ละครน้ำเน่าหลังข่าวภาคค่ำเป็นพยาน
ลูกทั้งสองเป็นทางตันจนตรอก...แต่แจ๋วเจอทางออกให้พนักงานเสิร์ฟหนุ่มโสดอย่างกำธร…สามีแท้ๆ คนต่อไปของเธอ ตายายรับเลี้ยงเด็กแฝดด้วยภาวะจำยอม แจ๋วส่งเสียให้เดือนละพัน
เส้นกราฟชีวิตเธอ...ลง


4
* * * * *
“ตามนโยบายของโรงแรม พนักงานที่เป็นสามีภรรยาจะทำงานที่เดียวกันไม่ได้” คุณสุริยาผู้จัดการแผนกบุคคลเน้นสุ้มเสียงให้เข้มที่สุดเท่าที่จะทำได้… แกเป็นแต๋วรุ่นอาวุโส
ตามนโยบาย ! ทำให้แจ๋วต้องลาออก เธอเข้าโรงแรมนั้นออกโรงแรมนี้ทุกๆ สามเดือน จำนนต่อประกาศิตที่ว่าเธอไม่ผ่านการทดลองงาน...ตามนโยบาย...
ความเก่งกาจปราดเปรื่องพ่ายแพ้ต่อชะตาลิขิตอย่างไร้เหตุผล
ดั่งราหูอมจันทร์ กรรมเวรอมแจ๋ว... แม้เธอจะทำแล้วอย่างสุดฝีมือแต่ไม่เคยเข้าตาผู้จัดการ ก็อย่างที่บอก… เส้นกราฟกำลังลง…
แคชเชียร์ร้านขายของที่ระลึกในโรงแรมสี่ดาวดูเหมือนจะรุ่ง ผ่านไปแล้วสี่เดือนยังไม่โดนไล่ออก โอ้…เธอผ่านงานแล้ว ...ตามกฎหมายแรงงาน!...เธอจึงมุ่งมั่นกับงานแคชเชียร์ ปล่อยประสบการณ์เสิร์ฟให้ล่องลอยหายไปกับอดีต
“ตามที่ได้ประเมินผล” คุณภัทราหัวหน้าของแจ๋วมองไปที่เอกสาร “คุณผ่านการทดลองงานแล้วค่ะ” เธอเว้นจังหวะ …คงรอให้แจ๋วกระโดดร้องไชโย...แต่ผิดคาด แจ๋วนั่งนิ่งดุจปะติมากรรมข้างน้ำพุหน้าโรงแรม หัวหน้าจึงกล่าวต่อ “แต่...นโยบายของโรงแรม ในตำแหน่งแคชเชียร์ จะต้องมีการเก็บเงินค่าประกัน เธอคงเข้าใจนะ…เป็นนโยบาย”
ทำตาปริบๆ คือสิ่งที่แจ๋วทำได้มากที่สุด
เดือนละหนึ่งพันเป็นเวลาสิบเดือน พวกเขาต้องการเงินหนึ่งหมื่นบาทในบัญชีเพื่อรับประกันความเสียหาย นโยบายหนึ่งเพื่อความมั่นคงของร้านกิ๊ฟท์ชอป แต่สั่นคลอนความมั่นคงของครอบครัวแจ๋ว “เดือนละห้าร้อยยี่สิบเดือนได้ไหมค่ะ” คำถามที่เป็นความพยายามจะควบคุมตัวเลขทางเศรษฐกิจของสถาบันครอบครัว คำตอบคือ... “โน”…
นับเป็นคำถามไร้สาระที่ออกมาจากปากปะติมากรรมที่มีชื่อว่า...แจ๋ว
เมื่อมีลูกสาวแฝด ค่าใช้จ่ายจึงเพิ่มขึ้นทีละสอง ลูกสาวคนสุดท้องพอประคองได้จากเงินเดือนพ่อกำธร แจ๋วดีใจมากในการเลื่อนตำแหน่งของสามี นั่นหมายถึงเงินเดือนที่จะเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อยหนึ่งพันบาททดแทนจำนวนเงินที่เธอถูกหักไป
ดีใจจนต้องฉลอง หมูกระทะเป็นพยาน...
กับแกล้มชั้นดีปรุงสุก ไฮไลท์ของงานยังไม่กลับมา ในกรณีนี้…แจ๋วหมายถึงเบียร์เย็นๆ
เธอเดินออกจากหอพัก…ไปตามหาไฮไลท์ที่ว่า

5
* * *
อวกที่แตกกระจายคลายความเมาไปได้บ้าง ถ้อยคิดหยาบคายหายจางลงเช่นกัน สติกำธรตั้งลำได้ท่ามกลางกระแสคลื่นน้ำเมาสีทอง สติที่กลับมานั้นเขาเอาใช้คิดถึงเพื่อนเก่า ด้วยถ้อยคิดที่สุภาพอ่อนโยนขึ้น “บรรจง นายเด็ดเดี่ยวกว่า…นายยังสู้อุตส่าห์ฝืน....ส่วนเรา...ไม่สามารถ..จริงๆ”
แสงไฟหน้ารถราที่วิ่งผ่านไปมาสาดเข้าหาตัวกำธรขณะแล่นผ่านโค้ง…แว่บๆ…เหมือนอยากจะให้เขาสนใจ แต่ไม่เลย…เขาซุกหน้าบนสองฝ่ามือ…มืดสนิท…มีช่องว่างในกระแสเลือดที่พิษสงของแอลกอฮอล์เข้าไปไม่ถึง ทำให้เรื่องราวเก่าๆ ของเขากับเพื่อนๆ จึงผุดขึ้นมาในช่องว่างนั้น... สองฝ่ามือเปียกน้ำอุ่นใสจากสองตา เขาเห็นภาพเพื่อนเก่าชัดในความมืดบนฝ่ามือนั้นเช่นกัน
แปดปีก่อน…
“ตกลง ผมรับคุณทั้งสองเข้าทำงานนะ เริ่มงานพรุ่งนี้เลย” สุดแสนปรีดา สองหนุ่มจากลุ่มแม่น้ำปิงได้โอกาสทำงานครั้งแรกในชีวิต ทั้งคู่มีหน้าที่เก็บจานในห้องอาหารหลักของโรงแรมดัง
“สุดยอด…สุดยอดจริงๆ” กำธรย้ำกับบรรจงในวันเริ่มงานวันแรก ทะเลอันดามันสุดลูกหูลูกตาเบื้องหน้าคือสิ่งที่กำธรกำลังชี้ให้เพื่อนชื่นชม นับเป็นโชคที่ได้ทำงานในสถานที่วิเศษเช่นนี้… แม้จะเป็นเด็กเก็บจานก็ตามที… รูปถ่ายกับทะเลกว้างใหญ่ถูกส่งกลับไปท้องนาพร้อมธนาณัติ นั่นหมายถึง ทั้งคู่กำลังได้ดิบได้ดี
ห้องอาหารแบ่งเป็นสองกะ เช้าบ่าย แต่ตั้งแต่แรกเข้าทั้งคู่อยู่งานบุฟเฟต์อาหารเช้าตลอด คอยเก็บจาน แบกถาดและรินกาแฟชา หัวหน้าเปลี่ยนแล้วไม่รู้กี่คน พวกเขายังไม่เคยเปลี่ยนหน้าที่หรือย้ายไปเข้างานกะบ่าย ทั้งคู่แทบจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของอาหารเช้าไปแล้ว “ไม่อยากอยู่รอบบ่ายบ้างหรือ” เรสเตอรองก์ซุปเปอร์ไวเซอร์หลายคนต่างวาระมักถามพวกเขาช่วงรับประทานอาหารกลางวัน “ตามใจพี่สิครับ” คำตอบนี้หมายความว่า “ไม่อยาก” หรืออย่างไรไม่ทราบได้ รายชื่อของทั้งคู่ไม่เคยได้อยู่กะบ่าย รวมถึงจำนวนตัวเลขเงินเดือนก็ไม่เคยขยับ
กำธรและบรรจงไม่ได้เรียกร้องอะไร การได้เห็นแสงแรกของตะวันโผล่พ้นท้องน้ำทุกเช้า เป็นความสุขที่ทั้งคู่ได้รับนอกเหนือจากเงินเดือนและความสนุกในการทำงาน...ดูเหมือนว่าพวกเขารู้จักพอเพียง …ในระดับหนึ่ง…หรือจะคิดอีกแบบตามความเป็นจริง...พวกเขาไม่สิทธิ์ที่จะเรียกร้องสิ่งใดได้
ใครล่ะ จะปรับโน่นเปลี่ยนนี่ได้ คำตอบคือ ท่านหัวหน้าทั้งหลาย แต่ทุกคนทราบดีว่า ไม่มีใครจะเก็บจาน ชงกาแฟ รินชา และแบกถาดหนักนั้นได้ดีมากไปกว่าคู่หูคู่นี้อีกแล้ว ผลงานปรากฏเด่นชัดทุกเช้าคือสิ่งการันตี แล้วจะเปลี่ยนแปลงให้ปวดกะบาลไปใย
สองปีหลัง เหล่าหัวหน้าพิจารณาผลงานที่ยอดเยี่ยมและเสมอต้นเสมอปลายของทั้งคู่… ห้าร้อยบาทต่อเดือน ! เป็นเงินเดือนที่ปรับให้…กัปตันและซุปเปอร์ไวเซอร์ของกำธรและบรรจงรู้สึกภูมิใจที่มีส่วนในการประเมินผลงานเพื่อปรับเงินเดือนดังกล่าว…สี่ปีผ่านไป…หน้าที่เดิม กะเดิม …ทั้งคู่ยังพอใจอยู่อย่างนั้นเช่นเดิม
ปีที่ห้าบรรจงได้รับเลือกให้เป็นพนักงานดีเด่นประจำปี …ทองคำหนักหนึ่งสลึงคือรางวัล
ปีที่หกกำธรได้รับบ้าง...รางวัลเดียวกัน
ใครนะที่กล่าวว่า ความพอเพียงคือความสุข เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงสำหรับกำธรและบรรจง… แต่ว่า !...ในปีต่อมา…โรงแรมเปิดห้องอาหารเพิ่มที่ชายทะเล กำธรถูกแยกไปประจำอยู่ที่นั่น..ตามภาษาฟ้าลิขิตแล้วเขาก็เจอแจ๋ว...ตามภาษาแจ๋ว แล้วเขาเสร็จเธอ!
ปีนั้น หัวหน้างานเปลี่ยนใหม่ พนักงานเก่าย้ายแผนกและลาออก บรรยากาศคล้ายระส่ำระสาย สุดท้ายบรรจง “ถูก” ปรับให้เป็นเรสเตอรองก์กัปตัน แทนคนเก่าที่ขอย้ายไปอยู่แผนกแม่บ้าน ในตำแหน่ง “ฟลอร์ซุปเปอร์ไวเซอร์” นั่นเป็นความก้าวหน้าของกัปตันคนเก่า แต่เป็นการก้าวถอยหลังของบรรจง กัปตันคนใหม่ “ทำไมล่ะ?!” คำตอบง่ายๆ คล้ายที่ใครเขากล่าวไว้ “บรรจงรู้สึกพอเพียงจากรายได้ ...สนุกสนานเต็มที่กับงานของเขา และที่สำคัญมันคือทักษะและความถนัด”
ตลอดระยะเวลาเจ็ดปีนั้น ความรู้สึกทะเยอทะยานไม่ได้เกิดขึ้นในความคิด…แม้แต่สักเสี้ยวนาที มีหลายล้านคนในโลกที่พวกเขาพึงพอใจที่เส้นกราฟชีวิตเป็นเส้นตรง
ความก้าวหน้าของฟลอร์ซุปเปอร์ไวเซอร์คนใหม่มีระยะเวลาเพียงสามวัน ทางโรงแรมได้รับแจ้งว่า กล้องถ่ายรูปดิจิตัลของแขกห้องหนึ่งบนฟลอร์ที่เขารับผิดชอบหายไป วันต่อมาเขาถูกให้ออกจากงาน ....ให้ออก...เป็นคำสุภาพแทนคำว่าไล่ออก หัวหน้าแผนกแม่บ้านชี้แจงว่า เขาต้องแสดงความรับผิดชอบในฐานะฟลอร์ซุปเปอร์ไวเซอร์ ...แสดงความรับผิดชอบ...เป็นคำสุภาพของคำสุภาพอีกทีแทนคำเดียวกัน... ไล่ออก…
วันต่อมาเขาจึงต้องไปเช่ารถตุ๊กตุ๊กหาเลี้ยงครอบครัว... ปิดฉากชีวิตงานโรงแรม



6
***
นั่นคือ “หลุมพราง” ที่พลาดหล่นลงไป... กำธรไม่ได้แค่คิดไว้ในใจ แต่รำพึงออกมาเบาๆ ...หลุมพราง...
กำธรเปิดเบียร์ขวดที่สี่…ไม่เย็นแล้ว… อีกสามขวดเปล่าที่ไปกองอยู่บนพื้นทราย “ความทะเยอทะยานอยู่ไหนว่ะ” เขาเริ่มสำรวจจิตใจตัวเอง ก้มหน้าซบฝ่ามืออีกครั้ง มืดดำ…ไม่เห็นแม้แต่เงาของความทะเยอทะยาน และแล้วความหนักใจกลับมาอัดสมองอีกหน กำธรขับรถตุ๊กตุ๊กไม่เป็น
ไร้ความสามารถที่จะดื่มขวดที่สี่ให้หมด ไร้เรี่ยวแรงที่ลุกยืนขึ้นด้วยเช่นกัน รถราวิ่งสวนกันไปมาบนถนนเลียบหาดคงไม่ปล่อยโอกาสให้คนเมาสุดๆ เดินข้ามถนนไปได้ง่ายๆ เสียแล้ว เขายังพอมีสติหยิบถุงเบียร์อีกสองขวดไปวางไว้ใต้ม้านั่ง วางไว้บนโต๊ะอย่างนี้หากขี้เมารายอื่นผ่านมาเห็นเข้าจะมาขอกันไปง่ายๆ ได้ หากขัดขืนก็เกิดอันตรายขึ้นกับตัวได้เช่นกัน
ใช่สินะ... อันตรายมันเกิดขึ้นได้ทุกแห่งทุกเวลาเหมือนที่บรรจง ด้วงสุรีย์เคยเอ่ยให้ฟัง ใบหน้าเพื่อนเก่ากลับมาในสมองอีก กำธรเชื่อว่า วันที่บรรจงถูกเรียกตัวไปพบคุณพิสุทธ์ ผู้จัดการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่มเพื่อรับตำแหน่งเรสเตอรองก์กัปตันในวันนั้น คงได้ฟังคำพูดในทำนองเดียวกันกับเขาซึ่งได้ฟังมาเมื่อตอนกลางวัน…ในวันนี้
"เรสเตอร์รองกัปตัน เป็นตำแหน่งที่สำคัญมากนะ" คุณพิสุทธิ์ไม่เคยคลายสีหน้าที่เน้นย้ำว่าการงานความรับผิดชอบของตนยิ่งใหญ่และเข้มข้นขึ้นทุกขณะนาที
"ทำไมรู้มั้ย" คุณพิสุทธิ์ถาม กำธรตอบไปสั้นๆ "ไม่รู้ครับ"
"เพราะเป็นตำแหน่งหัวหน้าลำดับแรกนะสิ กำธรน่ะ…ทำงานมาก็แปดปีแล้ว ควรจะได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าเสียที นับแต่พรุ่งนี้ กำธรก็จะมีลูกน้องไว้คอยสั่งงาน และกำกับดูแลความเรียบร้อยของงานบริการ" คุณพิสุทธิ์คาดหวังจะได้เห็นประกายความกระหยิ่มยิ้มย่องจากนัยน์ตาของกำธร
ตรงกันข้าม กำธร นั่งเหม่อลอยไม่พูดไม่จา
"เอาละน่ะ มีอะไรหนักใจก็มาปรึกษาผมได้ พรุ่งนี้ก็เริ่มทำหน้าที่อย่างที่บอกไว้แล้ว ยังไม่ต้องทำอะไรมากหรอก แค่เริ่มจากการคอยควบคุมเวลาเข้าออกห้องอาหารของพนักงานก่อน"
กำธรเดินออกมาจากออฟฟิสของผู้จัดการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่ม เขาพยายามนึกถึงความรู้สึกของเพื่อนเก่า และยังจำได้ดีเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเพื่อน…. ในวันแรกที่บรรจงทำหน้าที่เรสเตอรองก์กัปตันตามคำสั่งคุณพิสุทธิ์ ตามบันทึกภายในและอาจจะตามนโยบายด้วย…บรรจงดึงบัตรตอกเวลาออกมา พบเศษกระดาษพร้อมข้อความสั้นๆ ติดอยู่ที่บัตรตอก..."ระวังตัวให้ดี..อย่าอวดเก่ง"...
บรรจงมีสีหน้าหวาดหวั่น เขาคิดถึงเหตุการณ์ที่พนักงานฝ่ายจัดเลี้ยงคนหนึ่งถูกขู่ทำร้ายแบบเดียวกันนี้เมื่อต้นปี แล้วบ่ายแก่ๆ ของอีกวัน ข้อความขู่ก็เกิดขึ้นจริง ขณะที่เขาขับมอเตอร์ไซค์ลงเขาระหว่างทางกลับบ้าน วัยรุ่นขับมอเตอร์ไซค์สองคันเข้าประชิด…เขาถูกถีบจนรถเสียหลักตกร่องน้ำข้างทาง …พนักงานฝ่ายจัดเลี้ยงคนนั้นไปรู้สึกตัวอีกที…ที่ห้องไอซียู
บรรจงตัดสินใจในวันรุ่งขึ้นทันที…ลาออก ! …
หล่นลงไปในหลุมพรางอย่างจัง...หลุมพราง... กำธรเอ่ยขึ้นเบาๆ คลุ้งกลิ่นเบียร์
เป็นเวลาเกือบปีที่เพื่อนต้องล้มลุกคลุกคลาน ทำงานแต่ละที่ไม่ถึงสัปดาห์ เพื่อนคงขาดคุณสมบัติสำคัญ….ความทะเยอทะยาน …

7
* * *
เสียงตะโกนของแจ๋วอีกฝั่งฟากของถนน คุ้นเคยและดังพอที่จะทำให้เขาตื่นจากภวังค์ของฝันร้าย สายตาของกำธรพร่ารางเต็มที ลุกขึ้นยืนและพยายามทรงตัว ต้นสนรอบบริเวณวิ่งรอบตัวเขาเป็นวงกลม แจ๋วเดินรี่เข้ามาพยุงร่างสามี กำธรรู้สึกว่าแจ๋วจับตัวเขายืนขึ้นแล้วหมุนเป็นวงกลมแข่งกับต้นสนเหล่านั้น
" ฉลองคนเดียวได้ไง” สีหน้าแจ๋วไม่ค่อยสู้ดีเมื่อเห็นขวดเบียร์เปล่าหลายขวดเรียงรายอยู่ ตั้งแต่อยู่กินกันมา สามีเธอไม่เคยกินหนักขนาดนี้ ยกเว้นตอนที่ถูกมอมเบียร์ครั้งก่อนโน้น...โดยเธอเอง...
ต้นสนหยุดวิ่ง กำธรล้มลงไปกลิ้ง หน้าเกลือกเม็ดทราย แจ๋วเอะอะโวยวายแต่เสียงไม่ดังพอจะที่จะฟื้นคืนสติสามี เธอวิ่งไปเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้าง พาไฮไลท์ของงานกลับหอพัก
ที่หน้าหอพัก.. กำธรเริ่มรู้สึกตัว เขาเห็นแจ๋วยื่นเงินห้าสิบบาทของเจ๊ยุที่ให้มา จ่ายให้วินมอเตอร์ไซค์เขารำพันเบาๆ ซ้ำกันอยู่อย่างนั้น "ไม่อยากเป็นกัปตัน …หลุมพราง…ไม่อยากเป็นกัปตัน...หลุมพราง.. .เอื้อก..อึ๊ก...กูไม่อยากเป็น”



8
* * *

วันรุ่งขึ้นกำธรออกจากบ้านแต่เช้า
เขาจอดมอเตอร์ไซค์หน้าปากซอย ค่ำวานนี้แม้จะเมาเพียงใด เขายังจดจำหน้าพี่วินมอเตอร์ไซค์ที่พาไปส่งหอพักได้ดี
"พี่ครับ… ขอผมออกวินมอเตอร์ไซค์ด้วยคนนะ"
กลิ่นเบียร์ยังคลุ้งปนออกมาจากลมปาก แต่น้ำเสียงชัดเจนและมั่นอกมั่นใจ
นี่คือสำเนียงของ…ความทะเยอทะยาน …หรือไร


* * * * * * จบ * * * * * * *

ไม่มีความคิดเห็น: